ขณะที่โลกกำลังตกอยู่ในการควบคุมของ การแพร่ระบาดของ COVID-19 นักวิจัยกำลังทำงานด้วยความเร็ว และเพิ่มระดับความร่วมมือที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อพัฒนาวัคซีน(Vaccine) สำหรับโรคนี้

เรื่องราวของการบำบัดด้วยเซรั่ม (Serum therapy)

ในขณะที่เรารอผลของการทำงานนั้น นักวิทยาศาสตร์การแพทย์คนอื่น ๆ ก็กำลังดำเนินการรักษาด้วยซีรั่ม(Serum therapy) ที่พวกเขาหวังว่า จะช่วยลดความรุนแรงของความเจ็บป่วย และเร่งการฟื้นตัวของผู้ป่วย COVID-19 ได้

วัคซีน(Vaccine) กระตุ้นให้ร่างกาย สร้างภูมิคุ้มกันของตัวเองต่อโรคเฉพาะ แต่การรักษาด้วยซีรั่ม จะใช้สารจากภูมิคุ้มกันต่อสู้กับโรค (Antibodies) จากเลือดของผู้ป่วยอื่นที่หายแล้ว และส่งต่อไปยังผู้ป่วย เพื่อเพิ่มการป้องกัน สำหรับการบำบัด เพื่อให้ได้ผล สำหรับผู้ป่วย COVID-19

นักวิจัยต้องแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่หายจากโรค จะมีความต้านทานต่อไวรัส ที่เป็นสาเหตุได้อย่างยาวนาน ความต้านทานต่อการติดเชื้อซ้ำดังกล่าว ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากการเจ็บป่วยจากไวรัส และแบคทีเรียหลายชนิด แต่ยังไม่มีการยืนยันว่า สิ่งนี้ถือเป็นจริง สำหรับโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่หรือไม่

หากได้รับการยืนยันแนวทางนี้ว่าได้จริง ซึ่งจะเรียกการรักษานี้ว่า การรักษาด้วยพลาสมา( Plasma therapy) เพื่อหวังที่จะสามารถช่วยชีวิต และลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ในระหว่างปี หรือมากกว่านั้น ในขณะที่รอการทดสอบ และเปิดตัววัคซีนใหม่

การสู้กับโรคคอตีบ(Diphtheria) คือต้นแบบเซรุ่มบำบัดสำหรับ COVID-19

ในขณะที่วิธีการ ที่ใช้ในการสร้างเซรุ่มบำบัดสำหรับ COVID-19 นั้น ทันสมัย แต่เทคนิคดังกล่าว ยังเก่าแก่ ซึ่งบุกเบิกมานานกว่าหนึ่งศตวรรษ ในการต่อสู้กับโรคคอตีบ(Diphtheria) แนวทางเดียวกันนี้ ในเวลาต่อมาให้ความหวัง และบางครั้งก็ช่วยบรรเทาอาการปอดบวม และผู้ป่วยโปลิโอได้ จนกว่าวัคซีนทั้ง 3 โรค จะถูกแทนที่

เมื่อได้รับรางวัลโนเบลครั้งแรก ในปี 2444 Emil Von Behring นักสรีรวิทยาชาวเยอรมัน ได้รับ 1 รางวัล จากผลงานของเขา ทั้งในการแสดงการรักษาด้วยซีรั่ม สามารถใช้เป็นเทคนิคทั่วไป ในการต่อสู้กับโรคติดเชื้อ และเป็นคนแรก ที่ใช้กับผู้ป่วย

คณะกรรมการโนเบล(The Nobel committee ) ตั้งข้อสังเกตว่าเขา“ เปิดเส้นทางใหม่ในขอบเขตของวิทยาศาสตร์การแพทย์และด้วยเหตุนี้จึงมอบอาวุธที่มีชัยชนะต่อการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตของแพทย์ไว้ในมือของแพทย์”

ผู้บุกเบิกการรักษาด้วยซีรั่ม

Emil von Behring เป็นนักสรีรวิทยา(Physiologist) ชาวเยอรมัน เป็นหนึ่งในกลุ่มแพทย์ที่ในช่วงต้นทศวรรษ 1890 เป็นผู้บุกเบิกการรักษาด้วยซีรั่ม เพื่อต่อสู้กับโรคคอตีบ ที่ทำให้หัวใจเต้นแรง ซึ่งคร่าชีวิตเด็กไปถึงครึ่งหนึ่ง ของเด็กที่ป่วยด้วยโรคนี้ ซีรั่มที่ฉีดให้ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตลง เหลือ 15% บางครั้งก็ทำงานเหมือนมีปาฏิหาริย์ทางการแพทย์: เด็กที่หายใจหอบและใกล้ตาย จะหายใจได้ตามปกติ ภายในไม่กี่ชั่วโมง

หนังสือพิมพ์ในยุโรปและสหรัฐอเมริกาได้กล่าวถึงความสำเร็จ ของยาต้านพิษนี้ทำให้เกิดความกระตือรือร้นของสาธารณชนในการสร้างห้องปฏิบัติการใหม่

แนวคิดที่เรายอมรับเช่น แอนติเจน และแอนติบอดี ยังไม่มีอยู่จริง ฟอนเบห์ริงและคู่แข่งชาวฝรั่งเศสของเขาÉmile Roux และ Alexandre Yersin รู้เพียงว่า สารเคมีบางชนิดที่พบในเลือดของผู้ป่วย ที่หายแล้วทำหน้าที่ต่อต้านแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดโรคคอตีบ

สารต่อต้านพิษนี้ ยังคงอยู่หลังจากที่เซลล์เม็ดเลือดถูกกำจัดคัดออกไป โดยทิ้งไว้เฉพาะซีรั่มในเลือด เมื่อซีรั่มนี้ถูกฉีดเข้าไป ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อ จะช่วยเพิ่มความสามารถของร่างกาย ในการต่อสู้กับโรค

นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันปาสเตอร์(Pasteur Institute) ในปารีสได้ปรับขนาดเทคนิคการเก็บเลือดของตนอย่างรวดเร็ว โดยตระหนักว่า ซีรั่มจำนวนไม่มาก ที่พวกเขาจะได้รับจากเลือดของผู้ป่วยรายเดียว จะไม่เพิ่มขึ้นเร็วพอ ดังนั้น พวกเขาจึงเริ่มฉีดสารพิษ จากโรคคอตีบ ให้กับม้าที่เชื่อง ในปริมาณที่เพิ่มขึ้นสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเปลี่ยนเป็นโรงงานผลิตซีรัมในเลือด ด้วยผลิตภัณฑ์เดียวคือ ภูมิคุ้มกัน

ความก้าวหน้าของการรักษาโรคคอตีบ และการนำซีรั่มบำบัด สำหรับบาดทะยัก ก็เปิดโลกใหม่ ของการรักษาทางชีวภาพ ผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้นในห้องปฏิบัติการ โดยสิ่งมีชีวิต ซึ่งแตกต่างจากโลกเก่า ของยาเคมี และยาพฤกษศาสตร์

การรักษาด้วยซีรั่ม สำหรับโรคปอดบวม เป็นการเปิดเผย เมื่อปรากฏในทศวรรษที่ 1930 และช่วยชีวิตคนได้หลายพันคน ก่อนที่จะถูกแทนที่ด้วยเพนิซิลลิน(Penicillin) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทางชีวภาพอื่นในปี 1940 วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ และปอดบวมทันเวลา ทำให้ความจำเป็นในการรักษาด้วยซีรั่ม มันดูยุ่งยากมากขึ้น

การระบาดของโรคโปลิโอ(Polio epidemics) ในอเมริกา

ในช่วงต้นทศวรรษ 1950 ชาวอเมริกันต้องเผชิญกับฤดูร้อน หลังจากฤดูร้อนของการระบาดของโรคโปลิโอ(Polio epidemics) ที่น่ากลัว การขาดวัคซีน และการที่ประชาชนเรียกร้อง การรักษาแพทย์บางคน จึงหันมาใช้การรักษาด้วยซีรั่ม โดยหวังว่า จะลดจำนวนและความรุนแรงของผู้ป่วย

วิธีในการทดสอบในปี 1951 ทำกับเด็ก 6,000 คน ในรัฐยูทาห์ครึ่งหนึ่ง ได้รับแกมมาโกลบูลิน(Gamma globulin) ซึ่งเป็นโปรตีนต่อสู้กับการติดเชื้อในซีรั่ม และอีกส่วนที่เหลือได้รับยาหลอก(Placebo)

แม้ว่าตัวเลขที่รายงานโดยสื่อมวลชน ดูเหมือนจะดี แต่ความแตกต่างของผลลัพธ์ ระหว่างทั้ง 2 กลุ่ม ก็ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ประชาชนกำลังสิ้นหวังมากขึ้นเรื่อย ๆ การรักษาที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ จึงถูกนำไปใช้ ในระดับที่มากขึ้น ในปีพ. ศ. 2496 และ พ.ศ. 2497 เด็กชาวอเมริกันมากกว่า 200,000 คนได้รับแกมมาโกลบูลิน เพื่อป้องกันการระบาดของโรคโปลิโออีกครั้ง

ในช่วงฤดูร้อนปี 2497 ในที่สุด วัคซีนโปลิโอของ Jonas Salk ก็พร้อมสำหรับการทดสอบแล้ว เด็กเกือบ 2 ล้านคน ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

ผู้รับวัคซีน
ผู้รับยาหลอก
กลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการรักษา

การทดสอบใช้วิธี double-blind ทั้งผู้รับ และนักวิทยาศาสตร์ ที่ทำการทดลอง จะไม่ทราบว่าใครได้รับยาหลอก หรือใครได้รับวัคซีน ผู้ปกครองและแพทย์ ต่างก็ต้องรอคอยผลการทดลองภาคสนามอย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งจะครบกำหนด ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2498 ซึ่งก็มีการกักตุนวัคซีนไว้ 27 ล้านโดส ที่พร้อมจะรีบส่งไปยังเด็กกลุ่มแรก จำนวน 9 ล้านคน หากวัคซีนพิสูจน์แล้วว่าได้ผล

ซีรั่มบำบัด(Serum therapy) ในเลือด สำหรับ COVID-19

การทดลองใช้ซีรั่มบำบัดในเลือด สำหรับ COVID-19 เริ่มขึ้นเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2020 ด้วยการทดลองใหม่ทางออนไลน์ ที่โรงพยาบาลทั่วประเทศ การรักษาด้วยซีรั่ม อาจทำหน้าที่ เป็นสะพานเชื่อมระหว่างชีวิตที่ไม่มีวัคซีน และชีวิตที่อยู่ได้ด้วยวัคซีน

หากรูปแบบของประวัติศาสตร์ มีอยู่ผลประโยชน์ที่จำกัด จริง หากได้รับจากโปรตีนในซีรั่มของผู้ป่วย ที่หายจากโรคแล้ว จะถูกแทนที่ด้วยภูมิคุ้มกัน ที่ใช้งานอยู่ในรูปของวัคซีน ถึงกระนั้นไม่ว่าเราจะปรารถนากระสุนวิเศษของวัคซีนทันทีเพียงใด ประวัติศาสตร์ก็จะเตือนเราว่า การบำบัดในศตวรรษที่ 19 ยังคงพิสูจน์ตัวเองว่า เป็นส่วนสำคัญของพิพิธภัณฑ์อาวุธ ในศตวรรษที่ 21 ของเรา

อ้างอิง: https://www.sciencehistory.org

บริษัท 4ไล้ฟ์ รีเสิร์ช และทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อส่งมอบการสนับสนุนสุขภาพองค์รวมที่เหนือกว่า และยังมีการรักษามาตรฐานของคุณภาพและการทดสอบในระดับสูงสุด 4ไล้ฟ์ได้นำเสนอวิธีการส่งมอบคุณค่าเหล่านี้ในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบแคปซูล เม็ดเคี้ยว น้ำ เครื่องดื่ม ผง และผลิตภัณฑ์เฉพาะเจาะจง

สะดวก ซื้อออนไลน์ ส่งไปถึงหน้าบ้าน
(Convenient to buy online and deliver to your home)

โปรตีน PRO TF ลด 750 บาท สั่งซื้ิอ Online	โปรตีน Nutrastart ลด 547 บาท สั่งซื้ิอ Online	Transfer Factor Plus ลด 832 บาท สั่งซื้ิอ Online
Tri-Factor Advance ลด 607 บาท สั่งซื้ิอ Online	Tri-Factor Riovida ลด 942 บาท สั่งซื้ิอ Online	Renuvo Transfer Factor ลด 682 บาท สั่งซื้ิอ Online
คอลลาเจน (Collagen) ลด 400 บาท สั่งซื้ิอ Online	BIO EFA น้ำมันปลา ลด 292 บาท สั่งซื้ิอ Online	Recall Transfer Factor ลด 682 บาท สั่งซื้ิอ Online
Gutamine Anti-Oxidant ลด 305 บาท สั่งซื้ิอ Online	Stix Anti-Oxidant ลด 372 บาท สั่งซื้ิอ Online	BCV Transfer Factor ลด 722 บาท สั่งซื้ิอ Online
CM แคลเซียม ลด 212 บาท สั่งซื้ิอ Online	PBGS Anti-Oxidant ลด 372 บาท สั่งซื้ิอ Online	Transfer Factor Plus ลด 1,970 บาท สั่งซื้ิอ Online
Renewall Cream ลด 282 บาท สั่งซื้ิอ Online	Chewable Tri-Factor ลด 632 บาท สั่งซื้ิอ Online	ยาสีฟัน Transfer Factor ลด 152 บาท สั่งซื้ิอ Online
Tri-Factor Advance ลด 1,950 บาท สั่งซื้ิอ Online	Riovida Tri-Factor ลด 2,235 บาท สั่งซื้ิอ Online	BCV Transfer Factor ลด 1,860 บาท สั่งซื้ิอ Online
Tri-Factor Advance ลด 2,250 บาท สั่งซื้ิอ Online	PBGS Anti-Oxidant ลด 1,740 บาท สั่งซื้ิอ Online	Chewable Tri-Factor ลด 2,205 บาท สั่งซื้ิอ Online
Transfer Factor Vista ประหยัดได้ 627 บาท สั่งซื้ิอ Online		โทร.084 125 0585